เครือข่าย BNB Chain (BSC) ประกาศกำหนดเปิดใช้งาน Fermi Hard Fork บน Mainnet วันที่ 14 มกราคม หลังผ่านการทดสอบบน testnet ต่อเนื่องราว 2 เดือน โดยการอัปเกรดครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับ BNB Chain สู่บล็อกเชนเลเยอร์ 1 สาย High-Throughput ที่เน้นความเร็วและการใช้งานจริงในระดับ mass adoption

ลด Block Time เหลือ 250ms เร็วขึ้น 3 เท่า
หัวใจหลักของ Fermi Hard Fork คือการลดช่วงเวลาออกบล็อก (block interval) จากเดิม 750 มิลลิวินาที เหลือเพียง 250 มิลลิวินาที เพื่อรองรับแอปพลิเคชันที่ต้องการความไวสูงแบบ sub-second เช่น แอปที่มีความอ่อนไหวต่อเวลา (time-sensitive applications) และระบบที่ต้องการความหน่วงต่ำ (low latency)

เพิ่มพารามิเตอร์โหวต รับมือบล็อกที่ออกถี่ขึ้น
เมื่อ block time สั้นลง การสื่อสารระหว่างโหนดมีความท้าทายมากขึ้น เนื่องจากเวลาส่งข้อมูลไป-กลับลดลงและเสี่ยงเกิด communication lag ทาง BNB Chain จึงเพิ่ม extended voting parameters เพื่อช่วยให้กลไกฉันทามติยังทำงานได้อย่างเสถียรภายใต้ความเร็วระดับสูง

เสริมระบบ Index ลดภาระการซิงก์ข้อมูล
อีกหนึ่งฟีเจอร์สำคัญของ Fermi คือการเพิ่ม indexing mechanism สำหรับผู้ใช้งานและนักพัฒนาที่ต้องการเข้าถึง “ข้อมูลบางส่วนของเลดเจอร์” โดยไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดประวัติบล็อกทั้งหมด ซึ่งช่วยลดต้นทุนด้านพื้นที่จัดเก็บและพลังประมวลผล เหมาะกับงานด้าน analytics หรือบริการที่ต้องการข้อมูลเฉพาะทาง

ดัน BNB Chain สู่ L1 สายเร็วเต็มตัว
BNB Chain เริ่มต้นโดย Binance ในปี 2020 และพัฒนาเป็นระบบนิเวศแบบกระจายศูนย์ที่มี validator และชุมชนดูแลเครือข่าย ปัจจุบันข้อมูลจาก BSC Scan ระบุว่าเครือข่ายประมวลผลราว 222 ธุรกรรมต่อวินาที (TPS) ขณะที่ Chainspect ประเมิน TPS เชิงทฤษฎีสูงสุดไว้ที่ 6,349 TPS (ขึ้นกับสภาพแวดล้อมการทดสอบ)

แรงผลักดันของอุตสาหกรรมในภาพรวมคือการทำให้บล็อกเชนมี throughput และความเร็ว “ใกล้เคียงหรือดีกว่า” ระบบการเงินแบบรวมศูนย์ เช่น Visa ที่รองรับได้ราว 1,700 TPS ซึ่งเป็นมาตรฐานเปรียบเทียบสำคัญของ payment rails แบบดั้งเดิม

Active Address ไล่จี้ Solana สะท้อนศึก L1 เดือด
ข้อมูลจาก Nansen ระบุว่า BNB Chain มีจำนวน active address ราว 2.87 ล้านราย ใกล้เคียงกับ Solana ซึ่งขึ้นชื่อด้านความเร็ว สะท้อนการแข่งขันของบล็อกเชนเลเยอร์ 1 ในการชิงยูสเคสระดับผู้ใช้งานจำนวนมากที่เข้มข้นขึ้น

ทำไม Block Time และ TPS สำคัญกับ DeFi?
เครือข่ายที่มี block time ยาวหรือ TPS ต่ำ มักสร้างความหน่วงให้แอป DeFi และเพิ่มความเสี่ยงเรื่อง slippage หรือการได้ราคาซื้อขายไม่ตรงกับที่เห็น โดยเฉพาะในช่วงตลาดผันผวนหรือเครือข่ายหนาแน่น การลด block time และเพิ่ม throughput จึงกลายเป็นจุดขายหลักของ L1 สายเร็วในยุคปัจจุบัน

การอัปเกรด Fermi Hard Fork ครั้งนี้ จึงถูกจับตามองว่าอาจเป็นหมุดหมายสำคัญที่ช่วยผลักดัน BNB Chain ให้เข้าใกล้การใช้งานจริงในระดับ mass adoption มากยิ่งขึ้น ทั้งใน DeFi, แอปความเร็วสูง และระบบการชำระเงินบนบล็อกเชน